ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การปฏิบัติศีลข้อ 3 ของเบญจศีล (สีลานุสสติ) (สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์)


ตามธรรมชาติแล้ว การสืบพันธุ์และความสุขทางเพศไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ทั้งในมนุษย์และสัตว์ แต่สำหรับมนุษย์แล้ว อย่างน้อยก็มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ควบคุมเพื่อให้เกิดความปกติและมีศีลธรรม เช่น เบญจศีล (หลักคำสอน 5 ประการ) เพื่อควบคุมพฤติกรรมทางกายและวาจา ศีลข้อที่ 3 คือ เจตนาที่จะละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

ศีลข้อที่ 3 ที่เรียกว่า กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี หรือ "การงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม" เป็นหลักศีลธรรมพื้นฐานในพระพุทธศาสนาสำหรับคฤหัสถ์ การฝึกฝนศีลข้อนี้ได้มีการกล่าวถึงในพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี คัมภีร์อรรถกถา และคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งแต่ละคัมภีร์ก็ให้รายละเอียดและเน้นย้ำที่แตกต่างกัน

ในพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี

พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ซึ่งเป็นคัมภีร์หลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้กำหนดให้ศีลข้อที่ 3 เป็นหลักการฝึกฝนขั้นพื้นฐานสำหรับคฤหัสถ์

  • ตัวบทศีลเอง: แก่นของศีลข้อนี้คือความตั้งใจที่จะละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เป็นหนึ่งใน เบญจศีล (ศีล 5) ที่ชาวพุทธผู้เป็นคฤหัสถ์รับไว้เป็นรูปแบบของการฝึกฝนทางศีลธรรม
  • เหตุผล: คัมภีร์เชื่อมโยงการรักษาศีลเข้ากับหลักการของ อหิงสา (การไม่เบียดเบียน) ด้วยการงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม บุคคลนั้นจะละเว้นจากการทำให้เกิดอันตรายและความทุกข์แก่ผู้อื่นและตนเอง เป็นหนทางในการปลูกฝังความเมตตาและเคารพในสิทธิและความสัมพันธ์ของผู้อื่น
  • ประโยชน์: พระไตรปิฎกกล่าวถึงประโยชน์ของการรักษาศีลว่าจะนำไปสู่การเกิดในภพภูมิที่ดี (เป็นมนุษย์) และเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาจิตวิญญาณในขั้นสูงต่อไป การปฏิบัติศีล 5 ถือว่าเป็น "ธรรมะสำหรับมนุษย์" หรือ มนุสสธัมมะ
  • บริบท: บางพระสูตร เช่น พรหมชาลสูตร อาจจะกล่าวถึงแค่ศีล 4 ข้อแรก ในขณะที่บางพระสูตรก็กล่าวถึงศีลทั้ง 5 ข้อร่วมกัน ศีลข้อที่ 3 ได้ถูกกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นการละเว้นจากการ "ล่วงประเวณีกับภรรยาของผู้อื่น" และถือว่าเป็นบ่อเกิดแห่งอกุศลกรรม

ในคัมภีร์อรรถกถา

คัมภีร์อรรถกถา ซึ่งเป็นคัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎกในยุคหลัง เช่น ของพระพุทธโฆษาจารย์ ได้ให้การวิเคราะห์และนิยามของศีลที่ละเอียดมากขึ้น

  • การนิยามการประพฤติผิดในกาม: คัมภีร์อรรถกถาได้ขยายความว่าอะไรคือการประพฤติผิดในกาม โดยกำหนด วัตถุต้องห้าม (agamma-vatthu) ซึ่งรวมถึง:
    • บุคคลที่ได้รับการคุ้มครองจากครอบครัวหรือผู้ปกครอง: หญิงพรหมจารี คู่หมั้น และบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพ่อแม่หรือครอบครัว
    • บุคคลที่มีคู่สมรส: ผู้ที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว
    • นักบวช: พระภิกษุ ภิกษุณี หรือผู้ที่ได้ถือศีลพรหมจรรย์
    • หญิงขายบริการ: แม้ว่าการกระทำกับหญิงขายบริการอาจไม่ได้ผิดศีลตามตัวบทในบางการตีความ แต่ก็ขัดกับเจตนารมณ์ของศีลนี้โดยการส่งเสริมกิเลสที่ไม่เป็นกุศลและการแสวงหาผลประโยชน์
  • องค์ประกอบ 4 อย่าง: เพื่อให้ถือว่าเป็นการล่วงละเมิดศีลอย่างสมบูรณ์ อรรถกถาได้ระบุ 4 เงื่อนไขดังนี้:
    • วัตถุต้องห้าม: บุคคลที่ห้ามมีเพศสัมพันธ์ด้วย
    • เจตนา: ความตั้งใจที่จะประพฤติผิดในกาม
    • ความพยายาม: ความพยายามหรือการกระทำที่มุ่งมั่นจะกระทำผิดนั้น
    • การกระทำสำเร็จ: การกระทำทางเพศนั้นสำเร็จลุล่วง
  • ระดับของการล่วงละเมิด: อรรถกถายังได้แนะนำแนวคิดเกี่ยวกับระดับของการล่วงละเมิดที่แตกต่างกัน ความร้ายแรงของผลกรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สถานะของบุคคลที่ถูกล่วงละเมิด และความเข้มข้นของเจตนา

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค

คัมภีร์วิสุทธิมรรค ("ทางแห่งความบริสุทธิ์") ซึ่งเป็นคัมภีร์ในศตวรรษที่ 5 โดยพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นคู่มือที่เป็นระบบและครอบคลุมการปฏิบัติพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยได้วางการปฏิบัติศีล (sīla) ไว้ในกรอบที่กว้างขึ้นของ "วิสุทธิ 7"

  • สีลวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งศีล): ขั้นแรกของวิสุทธิ 7 คือความบริสุทธิ์แห่งศีล คัมภีร์วิสุทธิมรรคอธิบายว่าผู้ปฏิบัติจะต้องสร้างรากฐานที่มั่นคงของการปฏิบัติทางศีลธรรมด้วยการรักษาศีล ซึ่งรวมถึงศีลข้อที่ 3
  • รากฐานสำหรับการทำสมาธิ: คัมภีร์เน้นย้ำว่าการปฏิบัติที่บริสุทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำสมาธิ (samādhi) ที่ประสบผลสำเร็จ จิตที่ถูกรบกวนด้วยความรู้สึกผิดหรือความสำนึกผิดจากการกระทำที่ไม่เป็นกุศลไม่สามารถเข้าถึงสมาธิที่ลึกซึ้งซึ่งจำเป็นสำหรับปัญญา (paññā) ได้ ดังนั้น การฝึกฝนศีลข้อที่ 3 จึงไม่ใช่จุดจบในตัวเอง แต่เป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการทำให้จิตสงบและเตรียมพร้อมสำหรับการฝึกฝนทางจิตวิญญาณในขั้นสูงต่อไป
  • เหนือกว่าตัวอักษร: แม้ว่าคัมภีร์วิสุทธิมรรคจะตามอรรถกถาในการนิยามการกระทำที่ละเมิดศีล แต่จุดเน้นหลักคือการชำระจิตให้บริสุทธิ์ การงดเว้นจากการประพฤติผิดในกามถูกมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความไม่โลภ (alobha) และความไม่โกรธ (adosa) ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ต้องปลูกฝังจากภายใน

โดยสรุป พระไตรปิฎกให้หลักการพื้นฐานในการงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม คัมภีร์อรรถกถาขยายความกฎนี้โดยนิยามวัตถุและการกระทำที่ถือเป็นการล่วงละเมิด ส่วนคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้วางศีลข้อที่ 3 ไว้ในเส้นทางของการปฏิบัติที่ใหญ่ขึ้น โดยเน้นย้ำบทบาทที่สำคัญในฐานะรากฐานสำหรับการชำระจิตให้บริสุทธิ์และการพัฒนาปัญญา โดยพื้นฐานแล้ว การฝึกฝนศีลข้อนี้เปลี่ยนจากกฎง่าย ๆ ของการงดเว้นไปสู่ความมุ่งมั่นที่ลึกซึ้งต่อความซื่อสัตย์ ความเคารพ และการไม่เบียดเบียนในความสัมพันธ์ทางกามารมณ์ทั้งหมด

การฝึกฝนศีลข้อที่ 3 หรือ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี (การงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม) ก่อให้เกิดประโยชน์ที่สมควรอย่างยิ่งทั้งต่อตนเองและสังคม ประโยชน์เหล่านี้มีทั้งทางด้านจิตใจและทางกรรม ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับการก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

ประโยชน์ส่วนบุคคลและทางจิตวิทยา

  • ความสงบภายในและจิตที่ปราศจากความผิด: ด้วยการงดเว้นจากการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตราย บุคคลนั้นจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด ความสำนึกผิด และความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นจากการประพฤติผิดในกาม ซึ่งนำไปสู่จิตใจที่สงบ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการทำสมาธิและการพัฒนาจิตที่ประสบผลสำเร็จ พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง "ความบริสุทธิ์แห่งความสุข" (อนวัชชสุข) ซึ่งเป็นสภาวะแห่งความพึงพอใจที่เกิดจากการรู้ว่าการกระทำของตนนั้นบริสุทธิ์
  • การเพิ่มการควบคุมตนเองและสติ: การรักษาศีลต้องอาศัยวินัย การยับยั้งชั่งใจ และสติที่มั่นคงเหนือความคิด คำพูด และการกระทำของตนในเรื่องเพศ การปฏิบัตินี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถทางจิต ทำให้ง่ายต่อการควบคุมกิเลสและความเบื่อหน่ายอื่น ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคบนเส้นทางแห่งความหลุดพ้น
  • การปลูกฝังความเมตตาและความเคารพ: แรงจูงใจเบื้องหลังศีลข้อนี้คือการหลีกเลี่ยงการทำร้ายตนเองและผู้อื่น ด้วยการฝึกฝนการงดเว้นนี้ บุคคลนั้นจะได้ปลูกฝังความกรุณา (karuṇā) และความเคารพในสิทธิ ความสัมพันธ์ และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่น เป็นการสอนให้ผู้ปฏิบัติมองผู้อื่นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่คู่ควรแก่การเคารพ ไม่ใช่วัตถุแห่งความปรารถนาของตนเอง
  • การเสริมสร้างความสัมพันธ์: การฝึกฝนศีลข้อนี้ส่งเสริมความซื่อสัตย์ และความไว้วางใจในความสัมพันธ์ของตนเอง ส่งเสริมรากฐานของความเคารพและความเมตตาซึ่งกันและกัน ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากขึ้นกับคู่ครองและครอบครัว

ประโยชน์ทางกรรมและในอนาคต

  • การเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี: ตามคำสอนเรื่องกรรมในพระพุทธศาสนา การกระทำที่มีรากฐานมาจากความไม่โลภ ความไม่โกรธ และความไม่หลง จะนำไปสู่ผลกรรมที่เป็นกุศล การรักษาศีลข้อที่ 3 สร้างกรรมที่นำไปสู่การเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี ปราศจากความทุกข์ที่เกิดจากการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศและความสัมพันธ์ที่แตกหัก
  • การหลีกเลี่ยงผลกรรมเชิงลบ: การล่วงละเมิดศีลข้อนี้สามารถนำไปสู่ผลกรรมเชิงลบ เช่น การเกิดใหม่ในสภาวะที่ไม่ดี หรือการเผชิญกับปัญหาความสัมพันธ์และความทุกข์ในอนาคต ด้วยการรักษาศีลนี้ บุคคลนั้นจะหลีกเลี่ยงหนี้กรรมเชิงลบนี้
  • รากฐานสำหรับสภาวะจิตวิญญาณที่สูงขึ้น: ในเส้นทางที่เป็นระบบสู่การตรัสรู้ ศีล (sīla) เป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับสมาธิ (samādhi) และปัญญา (paññā) จิตที่ปราศจากความวุ่นวายจากการประพฤติผิดในกามสามารถสงบในสมาธิได้ง่ายขึ้น นำไปสู่สภาวะแห่งการซึมซับที่ลึกซึ้งขึ้น และในที่สุดก็นำไปสู่ปัญญาที่หลุดพ้นที่ยุติความทุกข์ทั้งหมด

โดยสรุป การฝึกฝนศีลข้อที่ 3 คือการปฏิบัติที่ไม่เบียดเบียนที่ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ เสริมสร้างคุณธรรมทางศีลธรรม และสร้างเงื่อนไขสำหรับความสุขและความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณในชาตินี้และในอนาคต

แฮชแท็กศีลข้อ 3

#พระพุทธศาสนา #เถรวาท #เบญจศีล #ศีลข้อสาม #การประพฤติผิดในกาม #กัมเมสุมิจฉาจารา #ศีล #พุทธจริยธรรม #สติ #ไม่เบียดเบียน #อหิงสา #การควบคุมตนเอง #กรรม #การพัฒนาจิตวิญญาณ #สมาธิ #วิสุทธิมรรค #พระไตรปิฎก #ปัญญาทางพุทธศาสนา #การชำระจิตให้บริสุทธิ์ #จริยธรรม

คำบรรยายรูปภาพ

ชื่อรูปภาพ: วิถีแห่งรักแท้

คำอธิบาย: การเดินทางของสองหัวใจที่ผูกพันด้วยความซื่อสัตย์และความรักอันบริสุทธิ์ ปราศจากเงาของความผิดบาป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทำลายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพุทธศาสนาใน 8 นาที (YouTube)

หลักคำสอนทางพุทธศาสนา 5 ประการที่มักเข้าใจผิด 1. ทุกข์: ไม่ใช่แค่ "ความทุกข์ทรมาน" คำว่า ทุกข์ มักถูกแปลว่า "ความทุกข์ทรมาน" ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ร้าย แต่ความหมายที่ถูกต้องคือ "ความไม่น่าพอใจ" หรือ "ความไม่สบายใจ" พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าชีวิตมีแต่ความทุกข์ แต่สอนว่าสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนไม่เที่ยงแท้ และความไม่เที่ยงแท้นี้เองที่ทำให้ไม่มีความสุขที่ยั่งยืน การทำความเข้าใจเรื่องนี้เป็นกุญแจสำคัญสู่การเข้าใจอริยสัจ 4 2. สุญญตา: ไม่ใช่ "ความว่างเปล่า" หลักธรรมเรื่อง สุญญตา (sˊuˉnyataˉ) มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแนวคิดแบบสุญนิยมที่เชื่อว่าไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว สุญญตาหมายถึงการที่สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีแก่นสารที่คงที่และเป็นอิสระ ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่ด้วยการอาศัยซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น เก้าอี้ไม่ได้มีอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง แต่เกิดจากการรวมกันของชิ้นส่วนต่างๆ (ไม้ , ตะปู) และจากความคิดของเราที่กำหนดว่ามันคือ "เก้าอี้" นี่ไม่ใช่การปฏิเสธการมีอยู่จริง แต่เป็นกา...

พระพุทธศาสนาในยุคแรกกับการแก้ปัญหาวิกฤตของมนุษยชาติ (สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์)

พระพุทธศาสนาในยุคแรก ซึ่งถูกรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎกภาษาบาลี ได้นำเสนอแนวทางเพื่อทำความเข้าใจและแก้ไขสาเหตุพื้นฐานของความทุกข์ของมนุษย์ แม้จะไม่ได้ให้ "ความช่วยเหลือในทางปฏิบัติ" ในความหมายที่ทันสมัยของการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว แต่คำสอนของพระพุทธองค์ได้นำเสนอแนวทางเชิงจิตวิทยาและปรัชญาที่ลึกซึ้งต่อปัญหาที่เป็นสากลของมนุษย์ นี่คือประเด็นสำคัญ 10 ประการของมนุษยชาติที่คำสอนทางพุทธศาสนาในยุคแรกได้กล่าวถึง: 1. ความทุกข์ ( Dukkha) แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาในยุคแรกคือ อริยสัจข้อแรก: ชีวิตถูกกำหนดโดย ทุกข์ ซึ่งมักจะแปลว่า ความทุกข์ ความไม่พอใจ หรือความไม่สงบ นี่ไม่ใช่เพียงความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นจากความไม่เที่ยงแท้ คำสอนให้แนวทางในการทำความเข้าใจและยุติความทุกข์นี้ในที่สุด โดยการแก้ไขที่ต้นเหตุของมัน ไม่ใช่การหลีกเลี่ยง 2. ความอยากและกิเลส (ตัณหา) อริยสัจข้อที่สองระบุว่า ตัณหา หรือความอยาก คือสาเหตุของความทุกข์ ซึ่งรวมถึงความอยากในกามารมณ์ ความอยากมีอยากเป็น และความไม่อยากมีไม่อยากเป็น (ความรังเกียจ) คำสอนของพระพุทธองค์เสนอว่าการปล่อยวางจากกิเลสเหล่านี...

เบญจศีลเป็นบาทฐาน: หนทางสู่สมถะและวิปัสสนาในพระพุทธศาสนา (สร้างโดยเอไอ)

ในพระพุทธศาสนา เบญจศีล หรือศีล 5 มิใช่เพียงแค่ข้อปฏิบัติทางจริยธรรมที่ทำให้สังคมสงบสุขเท่านั้น แต่ยังเป็นบาทฐานอันมั่นคงและจำเป็นยิ่งสำหรับการเจริญ สมถะ ( การฝึกจิตให้สงบ) และ วิปัสสนา ( การฝึกปัญญาให้เห็นแจ้ง) การปฏิบัติศีลอย่างเคร่งครัดจึงเป็นดั่งรากฐานที่ช่วยให้การภาวนาเจริญก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกบาลี 1. ความสำคัญของศีลในฐานะรากฐานแห่งการภาวนา พระพุทธองค์ทรงสอนอยู่เสมอว่า " ศีลเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์" การรักษาศีลให้บริสุทธิ์เป็นประการแรกก่อนการเจริญสมาธิและปัญญา เพราะจิตที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาจากกิเลสเบื้องต้น (เช่น ความโกรธ ความโลภ และความหลง) ย่อมไม่อาจสงบตั้งมั่นได้ ศีลเปรียบเสมือนการกำจัดอุปสรรคภายนอกที่จะรบกวนการภาวนา เช่น: ปาณาติปาตา เวรมณี (งดเว้นจากการฆ่าสัตว์): การงดเว้นจากความรุนแรงทำให้จิตเป็นสุข ปราศจากความพยาบาทและเวรภัย จิตจึงไม่ฟุ้งซ่านด้วยความกลัวหรือความรู้สึกผิด อทินนาทานา เวรมณี (งดเว้นจากการลักทรัพย์): การไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วยการขโมยทำให้จิตปลอดโปร่งจากความโลภ ...